แม้ว่าวันนี้อากาศจะเย็นๆ แต่เราตั้งใจแล้วว่าจะตื่นเช้าหน่อยออกไปเดินเล่นหน้า “โรงแรม Fujiya”และหน้าสถานีรถไฟยามเช้า เพราะเมื่อวานเรามาถึงที่พักก็มืดแล้ว อากาศยามเช้านี่ช่างสดชื่นจริงบริเวณโรงแรมเป็นสวนขนาดใหญ่ข้างหน้ามีแม่น้ำไหลผ่าน ต่อเชื่อมทางไปสถานีรถไฟด้วยสะพานสีแดงทอดยาวขนาดใหญ่ เราเดินเล่นรับลมกับอากาศดีๆ ไปจนถึงสถานีรถไฟ ซึ่งเวลานี้ดูยังไม่คึกคักเท่าเมื่อคืน เดินชิลชิลจนได้เวลาที่เราจะต้องไปเที่ยวกันต่อ จุดมุ่งหมายแรกในวันนี้คือ “ปราสาทโอดาวาระ” (Odawara Castle) ปราสาทหลังงามที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอดาวาระ ซึ่งใครมาเยือนก็ต้องขึ้นไปยังชั้นบนสุดของปราสาทเพื่อชมวิวในมุมสูงที่มองเห็นได้แบบกว้างไกลมากๆ สามารถเดินชมวิวได้แบบรอบด้าน
ด้านนึงเห็นบ้านเมืองเล็กๆ ส่วนอีกด้านมองเห็น “อ่าวซางามิ”(Sagami Bay)อยู่ไกลลิบๆ ส่วนของในของปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงแบบจำลองของปราสาทในอดีต เสื้อเกราะ อาวุธสงครามต่างๆ ซึ่งเวลาที่เดินขึ้นไปข้างบนปราสาทเราต้องจำทางดีๆ เพราะอาจจะงงและหลงหาทางลงไม่ถูกได้ ซึ่งตอนขาลงเราพลัดหลงกับกลุ่มที่มาด้วยกัน เดินวนลงมาช้ากว่าคนอื่น เพราะมัวแต่เดินชมวิวด้านบนเพลินไปหน่อย ซึ่งการหลงในปราสาทนี้คนเดียวนี่ก็น่ากลัวเหมือนกันนะ เพราะบรรยากาศข้างในรวมกับข้าวของที่จัดแสดงล้วนเป็นของเก่าเก็บผ่านมาหลายยุคแล้ว จินตนาการในสมองเริ่มก่อเกิด เดินๆ อยู่ขนลุกเป็นระยะรีบไปดีกว่า….ที่หน้าปราสาทถ้าเป็นช่วงซากุระบานจะสวยงามขึ้นอีกเพราะมีต้นซากุระต้นใหญ่อยู่ข้างหน้าปราสาทเลย และใครที่อยากแต่งตัวเป็นนักรบของญี่ปุ่นที่นี่ก็มีร้านให้เช่าชุดไว้ให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันด้วย
มื้อกลางวันนี้เราจะไปฝากท้องกันที่ “Shin-Yokohama Raumen Museum”หรือพิพิธภัณฑ์ราเม็ง ที่เมือง “Yokohama”(โยโกฮาม่า) เจ้าหน้าที่ของที่นี่ต้อนรับเราด้วยแผ่นพับคู่มือการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ราเม็งแห่งเมืองชินโยโกฮาม่าฉบับภาษาไทย ซึ่งข้างในก็มีรายละเอียดประวัติความเป็นมาของที่นี่ ราเม็งชนิดต่างๆ ว่าน้ำซุปทำจากอะไร มาจากเมืองไหน ร้านอยู่ตรงไหนของพิพิธภัณฑ์ เป็นอันรู้กันว่าที่นี่คงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่หนึ่งซึ่งคนไทยคงมาเยือนเป็นอันดับต้นๆ ข้างในจำลองบรรยากาศของร้านราเมนในอดีต มีร้านราเมนจากทั่วภูมิภาคของญี่ปุ่นมารวมกันอยู่ที่นี่ในบรรยากาศบ้านเมืองของกรุงโตเกียวสมัยปีโชวะ 33 หรือปี ค.ศ.1958ที่จำลองบรรยากาศในปีนี้เพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถูกคิดค้นขึ้นมาในปีนี้ ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่เชี่ยวชาญด้านราเม็งที่สุด ข้อมูลความรู้ทั้งหมดนี้ได้มาจากแผ่นพับฉบับภาษาไทยนั่นเอง
ใครอยากจะทานรสชาติแบบไหน ก็แค่หยอดเงินในตู้หน้าร้านแล้วเอาตั๋วไปยื่นให้พนักงานในร้าน สักครู่ก็จะได้ราเม็งแบบที่เราอยากกินมาวางกลิ่นหอมฉุยชามใหญ่อยู่ตรงหน้า เราเดินวนชมบรรยากาศของบ้านเมืองจำลองของญี่ปุ่นอยู่สักพัก ก็เลือกชิมชาชูราเมนแบบน้ำข้น แต่จำไม่ได้ว่าของจังหวัดไหน จำได้ว่าอร่อยอย่างเดียว กับรสชาติเข้มข้นสมใจ อิ่มอร่อยกับเส้นราเม็งเหนียมนุ่ม ถ้าใครที่หลงรักการรับประทานราเม็ง รับรองว่ามาที่นี่ไม่ผิดหวัง
อิ่มกันเรียบร้อยเราจะไปยังต้นกำเนิดของราเม็งกันที่ “Cupnoodles Museum”พิพิธภัณฑ์บะหมี่ถ้วยกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งในปี 1958 “คุณโมโมฟุกุ อันโดะ”(Momofuku Ando) เป็นผู้คิดค้นผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้เป็นครั้งแรกในโลก ในนาม “Nissin Cup Noodles”(นิชชิน คัพนู้ดเดิ้ล)จนได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไม่น่าเชื่อว่าแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคาถ้วยละไม่กี่บาทจะสามารถสร้างตำนานจนเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน เราสังเกตได้จากคิวต่อแถวเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่ยาวมากๆ ทั้งชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นเองที่จูงลูกจูงหลานมาทำกิจกรรมที่นี่ ข้างในนอกจากจะจัดแสดงความเป็นมาของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “Nissin Cup Noodles”ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบันแล้ว ยังมีซองบะหมี่ของประเทศต่างๆ จัดแสดงด้วย รวมทั้งของประเทศไทยของเราด้วย ซึ่งบะหมี่รสที่ขึ้นชื่อลือชาก็ต้องเป็นรสต้มยำกุ้งนั่นเอง ซึ่งข้างในก็มีร้านบะหมี่สัญชาติต่างๆ ให้ได้ลิ้มลองรสกัน และของไทยเราก็ติดอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวชอบรสชาติมากที่สุดด้วย
เราเริ่มกันด้วยกิจกรรมการทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยตัวเอง เริ่มตั้งแต่นวดแป้งให้เข้ากัน ใส่ลงเครื่องรีดออกมาเป็นแผ่นยาว แล้วนำเข้าเครื่องตัดเป็นเส้นเล็กๆ จากนั้นเอาไปนึ่งให้สุก นำมาปรุงรส ต่อด้วยการนำเส้นบะหมี่ราเม็งไปทอด จนออกมาเป็นก้อนบะหมี่ราเม็งกึ่งสำเร็จรูปในแบบฉบับของ “Nissin Cup Noodles”แต่เป็นฝีมือของเราเอง ซึ่งระหว่างรอขั้นตอนต่างๆ เราก็จะได้ซองใส่บะหมี่มาเพ้นท์ลายแบบฉบับของเราเอง ไว้ใส่บะหมี่ที่เราทำนำกลับไปเป็นที่ระลึกด้วย หรือจะออกแบบลวดลายระบายสีถ้วยบะหมี่ เลือกส่วนผสมใส่ในถ้วย ทำเป็นของที่ระลึกชิ้นเดียวในโลกก็มีให้ทำกัน
“Yokohama”(โยโกฮาม่า) ได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่าเรือแห่งแรกและใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ยามค่ำคืนของอ่าวโยโกฮาม่าสวยงามด้วยแสงสีของเมืองที่ประดับประดาแต่งแต้มเมืองให้มีสีสันต้อนรับนักท่องเที่ยว เราล่องเรือชมเมืองพร้อมดินเนอร์อาหารญี่ปุ่นในเรือท้องแบนแบบญี่ปุ่น ชมความงามของแสงสีในเมืองซึ่งจุดเด่นอยู่ที่ชิงช้าสวรรค์กลางเมืองที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ให้ได้ชมกันเพลินตา เราออกมายืนที่หัวเรือดื่มด่ำกับวิวแสงสีของเมืองโยโกฮาม่า เพราะนี่จะเป็นค่ำคืนสุดท้ายในญี่ปุ่นสำหรับทริปนี้ของเรา สายน้ำผสมกับสายลมแรงหนาวดีแท้ แต่ความงามของแสงสียามค่ำคืนของเมืองโยโกฮาม่าทำให้เรายอมทนกับความหนาวเย็นขอยืนชื่นชมแบบไม่มีกระจกของเรือกั้น ปิดท้ายความประทับใจของเมืองโยโกฮาม่า ที่เคยได้ยินแต่ชื่อมานาน วันนี้ได้มาเยือนแล้ว และส่งท้ายก่อนกลับไทยเราแวะช็อปปิ้งกันที่ร้าน “Don Quijote”(ดองกิโฆเต้)ซึ่งหลายคนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นคงรู้จักกันดี เปิดขายกันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึงตี 5 และบางสาขาเปิด 24 ชั่วโมงทีเดียว ที่นี่มีสินค้าให้เลือกช็อปหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนมหรือข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของเรา และของแปลกๆ อีกมากมาย และก็อีกนั่นแหละที่นี่มีประกาศสรรพคุณของร้านเป็นภาษาไทยต้อนรับพวกเราด้วย ให้รู้กันไปคนไทยนี่เรื่องช็อปปิ้งไม่แพ้ชาติใดในโลก ครบรสสำหรับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นในทริปนี้ ได้ทานทั้งอาหารอร่อยๆ ได้ชมวิวธรรมชาติสวยๆ ได้ทำกิจกรรมเยอะแยะ แล้วเจอกันใหม่นะ….ญี่ปุ่น…..ครั้งเดียวไม่เคยพอ….