J-Story
24-06-2015

 

คุมาโมโต้ เมืองที่ชื่อไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่มีความสำคัญมากในอดีตเพราะเป็นศูนย์กลางทางทหารของเกาะคิวชู รอบๆตัวเมืองส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและฟาร์มปศุสัตว์ ในตัวเมืองก็มีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะเป็นที่ตั้งของโรงงานฮอนด้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น การเดินทางายในตัวเมืองก็จะเห็นรถรางไฟฟ้าวิ่งกันขวั่กไขว่ เป็นเพียงไม่กี่เมืองในญี่ปุ่นที่ยังมีรถรางวิ่งให้บริการอยู่ มีเวลาก็ควรจะไปลองนั่งให้หลงดูสักที เวลาขึ้นก็อย่าลืมดูล่ะกันว่าเรายังสายไหน เขาจะมีตัวเลขบอกไว้ ขากลับก็จะได้ขึ้นสายเดียวกันกลับมาที่เก่า 

ไหน ๆ ก็มาคุมาโมโต้ แล้วก็ควรจะแวะไปชมปราสาทคุมาโมโต้ อนุสรณ์ที่แสดงความยิ่งใหญ่ของเมืองในอดีต ชาวเมืองคุมาโมโต้ เขาคุยว่าเป็นปราสาทที่สวยที่ซู้ด คนญี่ปุ่นก็มีข้อดีตรงนี้แหล่ะ ที่มีความูมิใจในท้องถิ่นที่ตัวเองอาศัยอยู่มาก ลองไปถามชาวเมืองฮิเมจิดู เขาก็จะบอกว่าปราสาทฮิเมจิสวยที่ซู้ดเหมือนกัน ปราสาท คุมาโมโต้สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1607 โดย Kiyomasa Kato เพิ่งจะมีการเฉลิมฉลองปราสาทมีอายุครบ 400 ปีไป เมื่อปี ค.ศ.2007 นี่เอง ด้านหน้าก่อนถึงบริเวณตัวปราสาทก็มีการสร้างอนุสาวรีย์เจ้าผู้ครองปราสาทคน แรกไว้เป็นที่ระลึก รอบ ๆ ปราสาทเป็นสวนที่อุดมไปด้วยต้นซากุระ ถ้ามาได้จังหวะซากุระบาน ก็ยิ่งช่วยขับให้ตัวปราสาทดูเด่นสง่า แต่ก็ต้องแลกกับฝูงชนจำนวนมากที่พร้อมใจกันมานั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศดอกไม้ บานที่มีเพียงปีละ 1 อาทิตย์เท่านั้น ตัวปราสาทสีดำที่ดูเคร่ง ขรึมนี้ ปัจจุบันได้รับการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่เมื่อปีค.ศ.1960 โครงสร้างบางส่วนถูกคอนกรีตเข้ามาแทนที่วัสดุเดิมที่เป็นหินและไม้ ายในปราสาทถูกจัดให้เป็นพิพิธัณฑ์มีการแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ พร้อมาพประกอบแสดงวิถีชีวิตของผู้คนในยุคก่อน ถ้าพละกำลังไม่เป็นอุปสรรคก็ควรเดินขึ้นไปให้ถึงชั้น 5 ที่เป็นจุดชมวิวของเมืองคุมาโมโต้ ให้ได้เห็นาพมุมกว้างของตัวเมืองได้สุดหูสุดตา ถ้าเป็นคนชอบ ต้นไม้ใบหญ้า ก็น่าจะแวะไปเที่ยวสวนซุยเซนจิสักนิดนึง เป็นสวนที่จัดในสไตล์ญี่ปุ่น อายุอานามก็ 300 กว่าปีมาแล้ว ภูมิทัศน์ายในสวนก็มีการจำลองธรรมชาติที่สวยงามในเส้นทางระหว่างเมืองเกียวโต กับโตเกียวมาไว้ในสวน โดยเฉพาะภูเขาไฟฟูจี ก็สามารถพบเห็นได้ในสวนด้วยเช่นกัน

อาหารที่มาแล้วอยากให้ได้ลองก็คือ “จังโกะ นาเบะ” เป็นหม้อไฟญี่ปุ่นที่ปรุงรสน้ำซุปด้วยเต้าเจี้ยว ใส่ผัก ใส่หมู รสชาติกลมกล่อมมากแทบไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้มอะไรเลย ปกติถ้าคนไทยไปทาน 1 หม้อนี่ทานได้ประมาณ 4 คน แต่ถ้าเป็นนักซูโม่ญี่ปุ่นหม้อหนึ่งซัดคนเดียวเรียบ หากติดอกติดใจในรสชาติ ทางร้านเขาก็มีหัวเชื้อซุปเต้าเจี้ยวให้ลองซื้อกับไปปรุงดูที่บ้านได้ ใครเป็นนักเปิบ มาถึงที่นี่ก็ต้องลองมาชิม Basashi แปลตรง ๆ ตัวก็คือเนื้อม้าที่ทานแบบดิบ ๆ เหมือนปลาดิบ ปลาหมึกสด ๆ ดิบ ๆ วิธีการทานก็ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องปรุงให้เสียเวลา แค่คีบขี้นมาจิ้มโชยุสักหน่อย ใส่ปากแล้วก็เคี้ยว ก็จะได้สัมผัสกับเนื้อนุ่ม ๆ ที่อุดมไปด้วยความหวานปราศจากไขมันและอุดมไปด้วยโปรตีน ไม่น่าเชื่อว่าม้า สัตว์ที่ดูกำยำ แข็งแรง จะมีเนื้อที่นุ่มลิ้นได้ขนาดนี้

แต่ถ้าใครใจยังไม่ถึงพอที่จะทานเนื้อม้าดิบ ๆ ก็อาจจะเลือกร้านบาร์บีคิว แล้วลองถามหา Baniku ดู เขาก็จะเสิร์ฟเนื้อม้าแหล่บาง ๆ มาให้ย่างทาน บางร้านอาจจะเสิร์ฟเป็น Bagushi โดยจะเอาเนื้อม้าเสียบไม้เหมือนหมูปิ้ง จะได้ลองทานเนื้อม้าย่างว่าจะสู้กับหมูย่างเกาหลีได้หรือเปล่า บางร้านยิ่งพิศดารมีทำไอศกรีมรสม้าไว้บริการด้วย เรียกว่า Basashi Icecream อย่าว่าวัฒนธรรมในการทานอาหารเขาแปลกเลย ของเราก็มีแปลกไม่แพ้ใครเหมือนกัน ทั้งหนอน ทั้งแมลง ไข่ข้าวอย่างนี้ คนต่างชาติมาเห็นก็งงเหมือนกัน วัฒนธรรมการทานเนื้อม้านี่เพิ่งเริ่มมา 100 กว่าปีนี้เอง ในช่วงสมัยปฎิวัติเมจิ เนื่องจากช่วงนั้นข้าวยาก หมากแพง เพราะเพิ่งเสร็จจากศึกสงครามในการปฎิวัติประเทศ หันไปทางไหนก็ไม่มีอะไรพอจะจับมาเป็นอาหารได้ ลงทะเลก็เบื่อกุ้งหอยปูปลา หันไปหันมามองเข้าไปในโรงม้า เจ้าม้าที่น่าสงสารก็สบตาปิ๊บ ๆ ที่นี้ก็เสร็จซิครับ ในยุคสมัยช่วงหลังปฎิวัติเมจิ ญี่ปุ่นก็ปลอดจากศึกสงครามายใน การปรับเปลี่ยนกองทัพเป็นกองทัพแบบตะวันตก ม้าที่เคยเป็นคู่ที่ใช้ในศึกสงครามของซามูไร ก็เลยต้องตกงานตามซามูไรไปด้วย ถึงแม้จะได้อาชีพใหม่ที่ไม่น่าิรมย์ แต่ก็ยังคงคุณค่าให้กับมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่เก่งที่สุดในการเอาเปรียบ และหาประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตสปีชีส์อื่น ๆ และสปีชีส์เดียวกัน