หลังจากพักผ่อนรียกพลังมาทั้งคืน ทั้ง4ครอบครัว(รวมครอบครัวของผมด้วย) ก็พร้อมปฏิบัติการ Powder Snow กันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งเมื่อวาน ตั้งแต่การเริ่มแปลงร่างก็ทมัดทแมงขึ้น การประกอบร่างกับอุปกรณ์สกีหรือบอร์ดก็คล่องแคล่วขึ้น ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็ตอนเดินออกจากห้องล็อคเกอร์ไปยังลานสกี ทุกคนดูดีผิดหูผิดตาไปจากเมื่อวาน ไม่เห็นร่องรอยของความขัดเขินและไม่มีท่างทางของมือใหม่อีกต่อไปแล้ว บ้านคุณธนะพัฒน์ออกปฏิบัติการก่อนใครเพื่อน ถามน้องเม็กกับน้องมิวได้ความว่า เพราะ snow board มันยากกว่าเลยอยากใช้เวลาในวันนี้ให้มากที่สุด บ้านคุณชำนิออกไปเป็นชุดที่สอง 3หนุ่ม2วัยที่ดูจะมีพัฒนาการมากกว่าใครๆ น้องกอล์ฟลูกชายคนโตให้ทัศนะมาว่า “ต้องกล้าครับ อย่าไปกลัวล้ม เพราะล้มบนpowder snow มันต้องจ็บน้อยกว่า” ส่วนน้องกันลูกชายคนเล็กชี้ไปทางภูเขา Isola และบอกว่า “วันนี้ผมจะขึ้นไปบนโน้นครับ” คุณชำนิที่ดูอายุมากกว่าลูกชายคนโตแค่เล็กน้อยกล่าวทิ้งท้ายให้ผมขบคิด “ที่ผมเล่นได้ ก็เพราะมีทักษะดีจากการตีกอล์ฟ” ทำให้ผมนึกถึงตอนที่พาคุณคริส หอวัง มาเล่นสกีที่นี่ คุณคริสก็มีพัฒนาการที่ดีมาก ใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็สามารถเล่นได้แล้ว เพราะคุณคริสเธอเป็นครูสอนเต้นที่โรงเรียนนานาชาติอยู่ด้วย แสดงว่าทักษะการเต้นหรือเล่นกีฬาประเภทอื่นที่ต้องใช้ความสมดุลของร่างกาย มีส่วนทำให้การเล่นสกีมีพัฒนาการได้เร็วกว่าคนที่ไม่เต้นหรือเล่นกีฬา อันนี้ผมสรุปเอาเองนะครับ ไม่มีสถาบันไหนมารับรองทั้งสิ้น
น้องโตหลานชายคุณอานนท์เป็นอีกหนึ่งคนที่ทำให้ผมทึ่ง เพราะเมื่อวานนี้ก็ฝึกสกีลงเขาโดยไม่ต้องใช้ Poles ช่วย ใช้แต่การรักษาสมดุลของร่างกายประคับประคองตัวลงมา วันนี้น้องโตไปที่ภูเขา Isola เหมือนกับบ้านคุณชำนิ ทิ้งให้ผมและบ้านคุณธนะพัฒน์อยู่กันที่ภูเขาฝั่งตะวันตก ด้วยความที่ snow board มันยากกว่าจริงๆ เลยทำให้ครูฝึกยังไม่อยากพาไปเล่นไกลเกินไป เพราะมันจะไปกีดขวางพวกที่เค้าเล่นกันชำนาญแล้ว มันเป็นมรรยาทการเล่นของผู้ที่จำเริญในจิตสำนึกอย่างพวกเค้าจริงๆ เห็นแล้วก็อดคิดถึงบ้านเราอีกไม่ได้ เพราะเมื่อไหร่ที่เราสามารถสร้างจิตสำนึกจากเรื่องง่ายๆแบบนี้ได้ ประเทศไทยเราคงเข็มแข็งขึ้นอีกมาก ส่วนครอบครัวผมซึ่งเคยเล่นสกีกันมาบ้างแล้ว รอบนี้ไม่มีครูฝึก คอยลักคอยจำจากคนอื่นๆเอา เลยทำให้พัฒนาการช้าและไม่ได้เทคนิคใหม่ๆเพิ่มขึ้น ก็เลยเข้าใจวลีที่ว่า “ศิษย์มีครู” อย่างถ่องแท้วันนี้นี่เอง อันที่จริงผมก็จองครูฝึกไว้เหมือนกันแต่ด้วยความที่มาในช่วงเทศกาล ก็เลยทำให้มีครูฝึกไม่เพียงพอ อีกอย่างก็คืองกด้วย กะว่ามาแอบดูคนโน้นคนนี้คงจะช่วยได้ แต่ก็ไม่ได้ผลครับ มันสู้พวกศิษย์มีครูไม่ได้จริงๆ ถ้าคุณผู้อ่านมีโอกาสไปอย่าทำแบบผมนะครับ สู้อุตส่าห์เสียเงินเป็นแสนมาเล่นสกีกับหิมะที่ดีที่สุดแล้ว จ่ายค่าครูเพิ่มอีกวันละประมาณหมื่นบาท คุณจะสนุกและเก่งเกินกว่าที่คุณคาดไว้ครับ
ช่วงพักเที่ยงพวกเรากลับมาเจอกันที่เดิมคือ แคนทีนของรีสอร์ท ปกติเวลาเราเล่นสกี มักจะใช้เวลาตลอดทั้งวันบนลานสกี การทานอาหารกลางวันในรีสอร์ทเกือบทุกแห่งจะเป็นอาหารแบบง่ายๆทานไวๆไม่มีพิธีรีตรองมากนัก เวลาจะทานก็แค่ไปกดคูปองเลือกอาหารตามต้องการ มีทั้งราเมน อุด้ง โซบะและข้าวหน้าต่างๆ พอได้คูปองแล้วก็เอาไปยื่นตามเคาน์เตอร์ของอาหารแต่ละชนิด แล้วรอรับอาหารตรงนั้นเลย ทานเสร็จก็เอาไปเก็บให้เป็นที่เป็นทางในที่ๆเค้าจัดไว้ ไม่ต้องให้เป็นภาระ ใครกินคนนั้นเก็บ ประหยัดทั้งเวลาและแรงงาน เรานั่งทานกันไปสอบถามความก้าวหน้ากันไป ดูเหมือนกลุ่มที่ไปภูเขา Isola จะภาคภูมิใจเป็นพิเศษ คุยโขมงโฉงเฉง ฝ่ายเล่นบอร์ดดูเหมือนจะหมดแรงมากกว่า โดยเฉพาะคุณซู ภรรยาคุณธนะพัฒน์ที่ถอดใจขอบาย เพราะล้มลุกคลุกคลานจนเจ็บไปหมด แต่เด็กๆกำลังใจดียังสู้ไม่ถอย ช่วงบ่ายทุกคนกระวีกระวาดออกไปลุยกันต่อ แต่ทั้งหมดขอเลือกที่จะเล่นทางภูเขาฝั่งตะวันตกที่อยู่ใกล้โรงแรมฝั่งที่เราพักที่สุด เพราะประหยัดเวลาและเผื่อมีอะไร ยังไงก็ใกล้ที่พักไว้นั่นแหละดี ผมก็วนขึ้นไปเล่นลงมาอีกหลายต่อหลายรอบ แอบลักจำคนโน้นคนนี้ไปตามประสาศิษย์ไม่มีครู เห็นเด็กคนนึงอายุประมาณ5ขวบเล่นเก่งกว่าผมมากๆ ทั้งเลี้ยวทั้งเร่ง ไม่ต้องเบรคให้เสียจังหวะ ลีลาดีกว่าพวกเราทุกคนเสียอีก แต่ที่อัศจรรย์สายตาที่สุดก็คือ คุณแม่ลูกเล็กสวมชุดสกีแล้วแบกลูกน้อยกะคร่าวๆด้วยสายตาก็ประมาณขวบกว่าๆไม่เกิน2ขวบ ใส่หลังแล้วสกีลงมาด้วยความแคล่วคล่อง แต่ตอนเกือบจะถึงลานด้านล่างสุดคุณแม่ก็เสียหลักจากการเลี้ยวล้มกลิ้งไปด้านข้าง ผมคิดถึงเด็กน้อยที่อยู่บนหลังของคุณแม่นักสกีก่อนเลยว่าจะเป็นไง แต่พอหันกลับไปอีกทีคุณแม่ค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าพร้อมกันหันมาดูลูกน้อบแวบนึงก่อนที่จะสกีต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เยี่ยมจริงๆเลยครับ
พวกเราหยุดเล่นกันตอนเกือบจะห้าโมง เพราะฟ้าเริ่มมืดตั้งแต่4โมงและหิมะตกหนักขึ้น อันที่จริงจะเล่นต่อก็ได้เพราะที่นี่เค้าจะเปิดไฟให้เล่นจนถึง3ทุ่ม มีนักสกีอีกมากที่ยังเล่นกันต่อท่ามกลางหิมะโปรย แต่เย็นนี้เรามีนัดทานอาหารเย็นกันที่ร้านเหล้าสไตล์ญี่ปุ่น (Izakaya) ตอน5โมงครึ่ง เป็นการส่งท้ายก่อนจะอำลา Rusutsuไป ที่ร้าน Kakashi ซึ่งอยู่ชั้นล่างของ South Wing เลยห้องล็อคเกอร์ไปจนสุดทางเดิน ตามปกติทางโรงแรมจะไม่รับจองในช่วงเทศกาล แต่พอดีคุณ Toshinori Aoki ผู้จัดการร้านเค้าจำได้ว่าเคยมาถ่ายรายการ ก็เลยแอบจองที่ให้กับคณะของเรา คุณอาโอกิคนนี้นอกจากจะเป็นผู้จัดการร้านแล้ว ยังเป็นนักเล่นสโนว์บอร์ดตัวเอ้อีกด้วย เค้ามีวิดิทัศน์ของการเล่นสโนว์บอร์ดอยู่หน้าร้านให้ได้ชมกันระหว่างรอ และหนึ่งในนั้นก็คือคุณอาโอกิเล่นสโนว์บอร์ดโชว์สมัยที่เค้ายังเป็นวัยรุ่นอยู่
เราสั่งโน่นนี่นั่นทานกัน ทั้งอาหารเครื่องดื่ม นั่งทานกันตั้งแต่5โมงครึ่งจนจะสองทุ่ม ปลาดิบหลายๆต่อหลายจาน สุกิยากิหลายหม้อ สเต็กหลายชิ้น กับข้าวเต็มโต๊ะ สั่งกันด้วยความถือดีว่า คูปองที่ทางโรงแรมให้มาสำหรับทานอาหารค่ำนั้น ถ้าไปใช้ที่ห้องอื่นๆก็จะถูกกำหนดด้วยเซ็ทเมนูตามมูลค่าของคูปองอาหาร แต่สำหรับที่นี่เค้าไม่มีเซ็ทเมนูมากำหนด ใครใคร่สั่งๆแล้วรวมยอดหักจากมูลค่าคูปองในตอนท้าย ก็เลยเป็นที่สนุกสนานสั่งกันแบบไม่สนองแนวคิดกินอยู่อย่างพอเพียงเลยครับ เรารวมคูปองกัน13ใบมูลค่ารวมกันน่าจะมากอยู่ กะว่าทั้งหมดที่ทานกันไปไม่เกินแน่ พอถึงตอนคิดเงินก็มานั่งลุ้นว่าพอหรือไม่ สุดท้ายก็เหลือๆ เลยไม่ต้องควักเพิ่ม คืนนี้ทุกคนมีความสุขกันเต็มที่ พร้อมทั้งให้คำมั่นว่า จะต้องกลับมาพิชิตยอดเขาIsolaกันให้ได้ เพราะที่นี่ที่ๆพวกเค้าล้มลุกคลุกคลานและเหนื่อยยากกันมาตลอด3วัน และได้สร้างรอยประทับใหม่ในจิตใจของพวกเค้า ให้ได้รู้จักกับสุดยอดของหิมะ ที่ฟ้าประทานลงมา...Powder Snow นั่นเอง