Hokkaido Slow Drive 17
เรียวกังTamanoyu นั้นเป็นเรียวกังขนาดย่อมมีห้องพักแค่24ห้อง ตั้งอยู่กลางเมืองโนโบริเบทสึออนเซนเลย บรรยากาศของที่นี่เป็นเรียวกังขนานแท้ตั้งแต่หน้าประตูจนถึงห้องนอนตลอดจนถึงอาหารการกิน ไม่มีวัฒนธรรมข้ามชาติมาเจือปนแม้แต่น้อย เหมาะกับท่านที่อยากสัมผัสกับความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง อาหารค่ำของที่นี่เป็นอาหารชุดไคเซกิที่มีความหลากหลายทั้งเรื่องของวัตถุดิบและวิธีการการปรุง ทุกอย่างดีหมด ยกเว้นอย่างเดียวที่ขัดอกขัดใจคือห้องอาบน้ำที่เล็กเกินไป คืนนั้นโชคดีที่ฝนตกและผมลงไปอาบค่อนข้างดึกเจอคนญี่ปุ่นอีกแค่คนนึงเท่านั้น ถ้าลงไปอาบแต่หัวค่ำเจอแช่พร้อมกัน5-6คนนี่บ่อแน่นแน่ๆเลย อาบเสร็จก็กลับมานอนฟังเสียงฝนแล้วก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีแดดแยงตาแล้ว เลยรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปแช่น้ำรอบเช้าก่อนที่จะกลับมาปลุกลูกๆ รอเจ้าหน้าที่มาเก็บที่นอนและเสริฟอาหารเช้า เป็นอาหารแบบง่ายๆไม่จัดเต็มแต่ถ้าทานครบก็อิ่มกำลังดี เรื่องแบบนี้เขาชำนาญเราเองต่างหากที่วิตกว่าอาหารจะทานไม่พอ
อย่างที่ผมบอกไว้แล้วว่าความตั้งใจแรกผมอยากจะมานอนที่Takinoyaซึ่งเป็นแบรนด์หลักแต่จองไม่ได้ โชคดีที่รอบหลังผมได้มีโอกาสมาพักถึงรู้ว่าดีกว่าTamanoyuมากสมคำร่ำลือ Takinoyaจะตั้งอยู่ห่างจากถนนสายหลักออกไปเล็กน้อย จึงทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติมากกว่า การตกแต่งจะออกแนวญี่ปุ่นร่วมสมัยสอดใส่ความเป็นสากลเข้าไปได้อย่างกลมกลืน อย่างห้องที่ผมพักจะมีเตียงซึ่งปกติควรจะเป็นฟูก(Futon) แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกแปลกแยกแต่อย่างใด แถมมีที่แช่น้ำร้อน(ไม่ใช่น้ำแร่)ส่วนตัวอยู่ในห้องด้วย อันนี้ต้องทำความเข้าใจกันให้ดีระหว่างน้ำร้อนกับน้ำแร่ น้ำต้มร้อนกับน้ำแร่ไม่เหมือนกันนะครับ บางโรงแรมมีทั้ง2แบบต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเราจองแบบไหนเวลาไปจะได้ไม่ผิดหวัง การจองเรียวกังมักจะมีแผนให้เลือกมากกว่าหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นเราจองห้องพักแบบที่มีห้องอาบน้ำแร่ในตัว(Private onsen)โดยเลือกคอร์สอาหารแบบAก็จะราคานึง คอร์สBก็จะอีกราคานึง เรียวกังหลายแห่งมีให้เลือกมากกว่า2แผนเสียอีก เพราะอาหารเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ดึงให้ลูกค้าเก่ากลับมาพักซ้ำ
ความประทับใจที่ผมมีให้กับTakinoyaนั้นมากถึงมากที่สุด เริ่มตั้งแต่ทางเข้า คุณโนริโกะ ซูงะซึ่งเป็นทั้งเจ้าของและOkamiหรือผู้ดูแลพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่จะมาคอยต้อนรับอยู่ที่โถงทางเข้า การต้อนรับนั้นได้ใจมากคือนั่งโค้งคำนับจนหัวแทบจะติดพื้นเลย จากนั้นก็เข้ามาพูดคุยทักทายแล้วเจ้าหน้าที่ก็มาพาเราขึ้นไปส่งที่ห้องพัก อธิบายเสร็จสรรพก็ปล่อยให้เราเพลิดเพลินจำเริญใจกับห้องและทัศนียภาพด้านนอกที่อุดมไปด้วยแมกไม้และสายธารเล็กๆ ห้องที่ผมพักมีบ่อน้ำร้อนส่วนตัวด้วยดูเข้าท่ามาก แต่ผมขอลงไปสำรวจห้องอาบน้ำรวมก่อนว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ห้องอาบน้ำรวมของที่นี่มี2แห่ง2สไตล์ ชั้นล่างสุดเป็นแบบมาตรฐานคือมีที่อาบน้ำในร่มและกลางแจ้ง บ่อกลางแจ้งชั้นล่างนี่สุดยอดมาก ผมแช่กายลงในน้ำแร่สีขาวขุ่นท่ามกลางพืชพันธุ์ไม้ที่กำลังเปลียนสีเป็นการผ่อนคลายความเหนื่อยเมื่อยล้าและฟื้นฟูกำลังได้เป็นอย่างดี น้ำแร่ของโนโบริเบทสึนั้นมีมากมายหลายขนานขึ้นอยู่กับว่าแต่ละที่พักจะดึงน้ำมาจากแหล่งไหน บางแหล่งก็ดีกับผิวพรรณ บางแหล่งก็ดีกับสุขภาพ ผมโชคดีมากที่วันนั้นไม่มีใครอื่นอีก แช่อยู่ตามลำพังเลยถือโอกาสแอบถ่ายรูปมาให้ท่านผู้อ่านได้ชมกัน ซึ่งโดยปกติถ้ามีคนอื่นๆอยู่ด้วยคงไม่สามารถทำได้ ส่วนบ่อน้ำแร่ชั้นบนนั้นจะเป็นบ่อในร่มแต่ผนังด้านหน้าเปิดโล่งเห็นดงไม้บนเขาแบบพาโนราม่าวิวเต็มตา
แช่น้ำเสร็จก็ได้เวลาทานข้าวเย็น อาหารค่ำของที่นี่เป็นแบบไคเซกิเช่นกันแต่หรูหราน่าทานมาก เพราะอาหารญี่ปุ่นแบบไคเซกินั้นนอกจากจะอร่อยรสแล้วยังต้องงดงามอีกด้วย ดังนั้นภาชนะและการจัดวางจึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ารสชาติของอาหาร อย่างจานแรกที่เป็นจานเรียกน้ำย่อยก็น่าดูมากไข่หอยเม่นบนเต้าหู้วสดอร่อยและเข้ากันได้เป็นอย่างดี ถัดมาเป็นซาชิมิเสริฟแบบพอเหมาะพอทานเน้นคุณภาพและความสดทั้งโอโทโระ อาวาบิและฮิราเมะที่ท้อปปิ้งด้วยไข่หอยเม่นเป็นความหฤหรรษทางรสชาติอีกจานนึง ต่อด้วยปูขนนึ่งมาทั้งตัว วิธีทานให้อร่อยต้องแคะเนื้อออกมากองให้หมดแล้วทานทีเดียวถึงจะเต็มปากเต็มคำ จานเด่นของที่นี่เป็นวาไรตี้12อย่างทั้งผักและเนื้อวัวปรุงโดยวิธีการที่แตกต่างกัน12วิธีเสริฟมาในจานเดียวสุดอลังการณ์งานปรุงมากครับจานนี้ ขอบอกเลยว่าโคตรอร่อย จานที่ตามมาทั้งปลาย่างและของต้มเลยดูด้อยไปนิด ปิดท้ายด้วยเชอร์เบทและเมล่อน เป็นมื้อค่ำที่มีความสุขระหว่างทานแต่แอบทุกข์นิดๆเพราะอิ่มเกิน เลยต้องออกไปเดินย่อยชมบ้านชมเมืองยามค่ำคืน เมืองโนโบริเบทสึออนเซนนี้มีถนนสายช้อปปิ้งอยู่เส้นเดียว กะคร่าวๆก็ยาวประมาณ500เมตร สองข้างทางเป็นร้านขายของที่ระลึกเสียเป็นส่วนใหญ่ มีร้านสะดวกซื้ออยู่แค่2ร้านและเป็นที่ชุมนุมของนักท่องเที่ยวในยามค่ำคืน ก่อนนอนคืนนั้นผมยังกลับมาแช่น้ำร้อนต่อที่อ่างส่วนตัวในห้อง นั่งดูดาวฟังเสียงแมลงท่ามกลางธรรมชาติช่างมีความสุขจริงๆครับ
เช้าวันรุ่งขึ้นผมมีนัดพาลูกไปดูหมี เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งไม่ควรพลาดเพราะหมีที่ฮอกไกโดนี่น่าดูจริงๆ ตัวสูงใหญ่เบ่อเริ่มแต่แสนรู้ มีหลายแห่งให้เลือกชม แต่ของที่โนโบริเบทสึนี่อยู่บนเขาเวลาจะเที่ยวต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปมองเห็นวิวเมืองเป็นของแถมด้วย ด้านบนมีบ่อหมี2-3บ่อให้เราดู แต่ละบ่อจะมีหมีประมาณ8-10ตัวแยกตามอายุ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะซื้อขนมมาโยนให้หมี เจ้าหมีพอเห็นคนจะโยนขนมก็จะยกมือขอบ้างยืดตัวขึ้นมารับบ้าง หมีส่วนใหญ่จะมีความชำนาญในการรับขนมมาก โยนปุ๊บรับปั๊บบางตัวอ้าปากรองับเลยแสนรู้จริงๆ นอกจากบ่อหมีแล้วยังมีอุโมงค์หมีให้เราเข้าไปดูอย่างใกล้ชิดด้วย แต่ผมขำป้ายบอกทางเข้ามาก เขาเขียนว่า Human Cage คือตั้งใจให้เราดูหมีหรือให้หมีดูเรา เอ๊ะ!ยังไงกัน นอกจากนี้ยังมีโชว์หมี พิพิธภัณฑ์หมี และที่สนุกสนานมากอีกตัวคือ แข่งเป็ด เหมือนๆกับแข่งม้านั่นแหละครับ แต่เขาจับเอาเป็ดมาวิ่งแข่งแล้วให้คนแทงเหมือนแทงม้า มันสนุกตรงที่เป็ดไม่ใช่ม้า มันก็เลยวิ่งต้วมเตี้ยมเตาะแตะไปหยุดกินโน่นนี่ไป คาดเดาอะไรไม่ได้ดวงล้วนๆครับ คนไทยชอบกันมากเพราะสนุกและมีลุ้นด้วย หลังจากดูหมีดูเป็ดกันเสร็จแล้ว ผมและครอบครัวก็เตรียมตัวเดินทางต่อโดยมีจุดหมายปลายทางที่สกีรีสอร์ทอีกแถบหนึ่ง จะเป็นที่ไหนไว้ติดตามต่อในสัปดาห์หน้าครับ